กทม.
ชลบุรี
ขอนแก่น
International
ไทย
EN
中文
สมัครเรียน
ปริญญาตรี 2568
คณะ/สาขาที่เปิดรับ
ค่าเทอม
ทุนการศึกษา
กองทุนกู้ยืมฯ
วิธีสมัครเรียน
สมัครเรียนเพื่อรับทุน
การเดินทาง
นโยบายความเสมอภาค
ปริญญาโท-เอก 2567
สมัครเรียนออนไลน์
หลักสูตรที่เปิดสอน
ค่าเล่าเรียน
วิธีสมัครเรียน
ทุนการศึกษา
การเดินทาง
International College
British College
คณะและหลักสูตร
British College
คณะการสร้างเจ้าของธุรกิจ
วิทยาลัยการบินและคมนาคม
วิทยาลัยการท่องเที่ยวและการบริการ
คณะศิลปศาสตร์
คณะนิเทศศาสตร์
คณะบริหารธุรกิจ
วิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน
คณะบัญชี
คณะวิศวกรรมศาสตร์
คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ
คณะการออกแบบและสถาปัตยกรรมศาสตร์
คณะดิจิทัลมีเดีย
คณะนิติศาสตร์
Sripatum International College
วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาด้านการจัดการ
นักศึกษา
ผู้ปกครอง
e-Staff
Toggle navigation
สมัครเรียน
Brochure Dek65
รู้จักคณะ
หลักสูตร
ผลงานคณะ
บัญชีน่ารู้
ข่าว/กิจกรรม
ห้องปฏิบัติการ
เครือข่าย
ศิษย์เก่า
Youtube
กรอกข้อมูลศิษย์เก่า
SHOW CASE
หน้าแรก
SHOW CASE
นัท-ณัฐวุฒิ ปงลังกา นักข่าวสายลุยแห่งช่องช่องอมรินทร์ทีวี "ศิษย์เก่าจากคณะบัญชี"
การทำข่าวต้องทุ่มเท
ทำมันออกมาให้ดีที่สุด
#
ผลที่ดี
จะตามมาเอง...
ฮา
โ
ห
ล
ล
ล
!
ทุก
โ
ค
น
นน
ถ้า
ให้นึกถึงนักข่าวงานดีและเก่งสักคน คนแรกที่ทุกคนนึกถึงคือใคร…?? ถ้าเป็นแอดมิน ในตอนนี้ก็คงต้องยกให้กับ
นัท-ณัฐวุฒิ ปงลังกา
โอเคนัมเบอร์วันไปเลย!! นักข่าวหนุ่มหล่อจาก
ช่องอมรินทร์ทีวี
ที่กำลังถูกพูดถึงบนโลกโซเชียล และหลายคนก็อยากรู้ว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน ทำอะไรอยู่ งั้นวันนี้แอดมินขอพามาทำความรู้จักกับ พี่นัท-ณัฐวุฒิ ปงลังกา
ศิษย์เก่าจากคณะบัญชี สาขาการบัญชี
มหาวิทยาลัยศรีปทุม
ไปพูดคุยกับ
"พี่นัท"
กันเลย
พี่นัท :
สวัสดีครับ ณัฐวุฒิ ปงลังกา หรือพี่นัทนะครับ เป็นศิษย์เก่าจากคณะบัญชี
สาขาการบัญชี มหาวิทยาลัยศรีปทุม
ต
อ น นี้
พี่นัททำงานอะไรอยู่
แ
ละที่ผ่านทำอะไรมาบ้าง?
พี่นัท :
ปัจจุบันทำงานตำแหน่งผู้สื่อข่าว สายสังคมและสายอาชญากรรมอยู่ครับ ส่วนงานที่ผ่านมา นัทเริ่มต้นทำงานสายข่าวที่สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น
2556-2558
และย้ายมาทำงานที่ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ปี 2558-2561 และปัจจุบันทำงานตำแหน่งผู้สื่อข่าวที่สถานีโทรทัศน์
อัมรินทร์ทีวี
ปี 2561 จนถึงปัจจุบันครับ
เลือก
เรียน
บัญชี
เพราะ
อะไร...
พี่นัท :
ขอเล่าย้อนกลับไปในช่วง ปวช.1 ซึ่งเลือกเรียนสาขาคณะคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ในตอนนั้นมีความฝันว่าต้องการอยากจะเป็นวิศวะคอมพิวเตอร์แต่การเรียนชั้นปีที่ 1 ของ ปวช. เป็นการเรียนแบบรวมแผนกสาขา ทั้งสาขาการตลาด สาขาการบัญชี สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ จากนั้นช่วงขึ้นชั้นปีที่ 2 จะเป็นการเลือกคณะที่ต้องการเรียน โดยในตอนนั้นได้รับการแนะแนวจากอาจารย์แต่ละแผนก แต่ละสาขา และได้รับฟังจากอาจารย์แผนกบัญชี ซึ่งอาจารย์ก็พูดเกี่ยวกับสาขาที่จบแล้วมีงานทำทันที ประกอบกับผลการเรียนในรายวิชาแผนกบัญชี นัทมีเกรดเฉลี่ย A+ หรือ เกรด 4 มาตลอด อาจารย์เลยแนะนำให้ไปเรียนในแผนกที่เราเก่งและถนัดครับ จากนั้นเมื่อสำเร็จการศึกษาจากระดับชั้นปีที่ 2 ปวส. จาก K-Tach ได้ตัดสินใจย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพ และเป็นช่วง ตัดสินใจก่อนที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ในตอนนั้นคิดวางแผนเอาไว้ว่าจะสมัครเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนต่อเนื่อง เพราะเป็นคนที่เรียนโรงเรียนเอกชนมาโดยตลอดครับ ซึ่งในตอนนั้นก็ดูๆมหาวิทยาลัยเอกชนไว้ 3 ที่ครับ แต่ผลสุดท้ายนัทตัดสินใจเลือกที่
มหาวิทยาลัยศรีปทุม
ต้องบอกก่อนเลยว่า
ความประทับใจแรกนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับตัวนัทครับ
ซึ่งยอมรับว่าการให้บริการของเจ้าหน้าที่ บุคลากรภายในมหาวิทยาลัย ตั้งแต่รั้วประตู จนกระทั่งถึงหน้าอาคารสมัครเรียน มีเจ้าหน้าที่ให้บริการและแนะนำรวมถึงพูดคุยตลอดทางไปห้องสมัครนักศึกษาใหม่ มันทำให้รู้สึกว่า เออที่นี่เอาใจใส่ดีนะ เมื่อไปถึงบริเวณด้านบน นัทนั่งรออยู่บริเวณโซฟา มีพี่เจ้าหน้าที่แผนกรับนักศึกษาใหม่ เข้ามาพูดคุยและให้ข้อมูล เกี่ยวกับสาขาวิชา รวมทั้งข้อมูลต่างๆในมหาวิทยาลัย ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจได้อย่างง่าย และสามารถตอบข้อซักถามได้ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าตอนนั้นยังไม่ตัดสินใจที่จะสมัครเรียนก็ตาม ถึงมันจะเป็นจุดเล็กๆแต่นั่นก็เป็นจุดที่ทำให้นัทเลือกเรียนที่ม
หาวิทยาลัยศรีปทุม
ครับ
จุด
หักเห
จาก
นักบัญชี
สู่
นักข่าว
พี่นัท :
ถ้าพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของชีวิตซึ่งยอมรับว่านัทจบสาขาการบัญชี คณะบัญชี เป็นเรื่องของตัวเลขล้วนๆ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของงานสายข่าวเลย หรืองานด้าน
นิเทศศาสตร์
ขอย้อนกลับไปในช่วงแรกที่เป็นบัณฑิตจบใหม่เป็นช่วงที่ร้อนวิชามาก ตัดสินใจสมัครเข้าบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เป็นบริษัทระดับต้นที่บัณฑิตจบใหม่ในสาขานี้ใฝ่ฝัน ซึ่งนัทก็เป็นหนึ่งในนั้น เลยตัดสินใจไปทำงานที่นั่น แต่ทำได้สักพักนัทก็ตัดสินใจลาออกมา เพราะเนื่องจากเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่ในกฎระเบียบมากเท่าไหร่ ประกอบกับตัวเลขที่อยู่ในหัวประจำทุกวัน บางวันก็เล่นเอามึนเลยฮาๆ และพอเราได้ทำงานบริษัทแบบพนักงานออฟฟิศจริงๆ นัทเลยรู้เลยว่าความต้องการของตัวเองไม่ใช่แบบนี้ นัทชอบชีวิตแบบอิสระจึงตัดสินใจลาออกในตอนนั้นและ
จุดหักเหจากนักบัญชีสู่นักข่าวคือ
ในวันหนึ่งได้เปิดโทรทัศน์มานั่งดูการอ่านข่าวของพี่ๆผู้ประกาศข่าวหลายช่อง
แล้วมีความฝันว่าวันหนึ่งอยากจะเป็นคนที่ไปยืนอยู่ณจุดตรงนั้นบ้าง
จึงได้ตัดสินใจหาข้อมูลในเว็บไซต์ ซึ่งมีบทความระบุตอนหนึ่งว่า
“การเป็นผู้ประกาศที่ดีต้องเป็นนักข่าวที่ดีมาก่อน”
นัทจึงตัดสินใจไปสมัครงานที่สำนักข่าว ของสถานีโทรทัศน์อัมรินทร์ทีวี ในช่วงแรกที่เปิดสถานีโทรทัศน์ทีวีดิจิตอล แต่ด้วยประสบการณ์ด้านสายข่าวมีน้อยมาก เนื่องจากจบสาขาที่ไม่ตรง จึงไม่สามารถเข้าร่วมงานได้ในช่วงนั้นจึงได้เปิดเว็บไซต์สมัครไปที่สำนักข่าวอื่น จนกระทั่งได้ไปร่วมงานกับสำนักข่าวไอเอ็นเอ็น ซึ่งทำงานในสายงานผู้สื่อข่าวเฉพาะกิจ และผู้สื่อข่าวสายราชสำนัก และยังเป็นผู้ประกาศข่าวช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ได้รายการวิเคราะห์ข่าว จนกระทั่งทำงาน 3 ปี ได้รับสายติดต่อจากบรรณาธิการข่าวสายการเมือง ของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ทาบทามให้ไปร่วมงาน ในตอนนั้นค่อนข้างตื่นเต้นมาก เพราะเป็นสถานีโทรทัศน์ช่องใหญ่มีชื่อโด่งดังไม่คิดว่าจะให้โอกาสผมเข้าไปร่วมงานพอเราทำไปสักพัก จากนั้นเป็นช่วงที่คิดว่าทำงานข่าว 6 ปีแล้วหมดสนุก เพราะเนื่องจากเบื่อการทำข่าว อยากจะลาออกไปใช้ชีวิตในสาขางานด้านอื่น จึงตัดสินใจลาออกอีกครั้ง เมื่อทำงานได้ 3 ปี ที่ช่อง 3 ภายหลังตัดสินใจลาออก ได้มีรุ่นพี่ที่รู้จักกันในสถานีโทรทัศน์อัมรินทร์ทีวี ซึ่งเคยเป็นสถานีโทรทัศน์ช่องแรกที่เคยตัดสินใจสมัครงาน โดยตอนนั้นคิดว่าอยากจะลองย้อนกลับไปสมัครอีกครั้ง เพราะเคยเป็นสถานีโทรทัศน์ช่องแรกที่อยากจะเข้าไปร่วมทำงาน โดยไปสมัครในฐานะผู้ประกาศข่าว ซึ่งได้ทำการเทสหน้ากล้อง จากจำนวนผู้สมัครทั้งหมด 25 คน ผมได้รับโอกาสผ่านเข้าไปในรอบ 3 คนสุดท้าย และได้มีโอกาสเจอกับคุณพุทธ อภิวรรณ จึงได้มีการสอบสัมภาษณ์โดยคุณพุทธซึ่งยอมรับว่าในวันนั้นค่อนข้างตื่นเต้น จนกระทั่งสุดท้ายได้รับโอกาสเข้าไปร่วมทำงานในสถานีโทรทัศน์อัมรินทร์ทีวี แต่ด้วยอัตราการจ้างในช่วงนั้น ยังไม่พร้อมสำหรับตำแหน่งผู้ประกาศข่าว จึงทำให้ผมได้ร่วมทำงานในตำแหน่งผู้สื่อข่าวสายสังคม อาชญกรรม มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ครับ
"เ ส น่ ห์"
...................
ข
องอาชีพ
นักข่าวอยู่ตรงไหน
พี่นัท :
จากที่ผมได้สัมผัสและทำงานในวงการสื่อ ทั้งในสายงานเฉพาะกิจ สายงานราชสำนัก ตำแหน่งผู้ประกาศข่าว ซึ่งแต่ละสายงานค่อนข้างที่จะท้าทาย แต่ในความเป็นสายอาชญกรรม สังคม เป็นสายที่มีความท้าทายตลอดเวลา เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว และต้องมีความกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก ในการเรียนรู้และเข้าใจถึงสภาพสังคมมากยิ่งขึ้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในครอบครัวและมุมของชาวบ้าน นับวันยิ่งเจอกับเหตุการณ์ที่ท้าทาย เหตุการณ์ที่แปลกประหลาด จากเหตุเล็กน้อยแต่กลายเป็นเหตุใหญ่ เช่น สามีทะเลาะกัน หึงหวงเพียงแค่เรื่องแชทข้อความในมือถือ ถึงขั้นลงมือก่อเหตุสลด , หรือแม้แต่ คนในบ้านตกงาน แอบออกไปก่อเหตุขโมยของ แต่คนในบ้านไม่เคยรู้ นำเงินที่ได้มาจุนเจือครอบครัว ซึ่งยอมรับว่าเหตุการณ์เหล่านี้ เป็นเรื่องใกล้ตัว แต่เป็นสิ่งที่สามารถเตือนสังคม ให้รู้ถึงหลายมุมและการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมถึงความคิดของคนในสังคม ซึ่งทุกวันที่ผมได้เจอกับเคส จะเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ และเรียกได้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยจะเป็นเรื่องราวที่สามารถสะท้อนและเตือนสังคมได้เป็นอย่างดี ด้วยการทำงานสายนี้ เป็นอะไรที่ท้าทายและแปลกใหม่จริงๆ จึงทำให้สนุกไปกับงาน และลงมือทำกับมันอย่างเต็มที่ทุกชิ้นงาน
จนได้รับรางวัล คุณภาพแห่งปี "สังขเณศ"
บุคคลที่มีผลงานโดดเด่น และบุคคลต้นแบบตัวอย่าง สาขา
“สื่อมวลชนดีเด่น”
อีกด้วย
พูด
ถึงกระแส
Hot
บนโลกโซเชียล
กับความทุ่มเทถอดเสื้อลงไปนอนพิสูจน์คมใบไผ่
คดีน้องชมพู่ แห่งบ้านกกกอก
พี่นัท :
ขอท้าวความนิดนึงหลังจากที่ได้รับงานมาจากกองบรรณาธิการ ยอมรับว่าค่อนข้างเครียด เพราะจะต้องทำอย่างไรให้เห็นร่องรอยบนร่างกายตัวเอง ซึ่งได้รับคำแนะนำจากกองบรรณาธิการ ให้ลองถอดเสื้อและลงไปนอน จากนั้นให้ถ่ายว่ามีรอยบาดอะไรบ้าง ซึ่งตอนนั้นก็ไม่กล้าที่จะทำเนื่องจากทั้งเขินและกลัวทำออกมาไม่ดี ซึ่งได้พูดคุยกับทีมงานช่างภาพ ให้ช่วยเซฟในระหว่างการถ่ายทำ เพราะส่วนตัวไม่อยากให้ภาพไม่ดีหลุดออกไป แต่ในขณะที่นำไปใช้ออกอากาศจริงกลับกลายเป็นว่า ภาพโชว์ทั้งแผ่นหลัง และมีแฟนๆข่าวที่ดูแคปไปโพสต์ ตื่นเช้าขึ้นมาทั้งเพื่อนและคนรู้จักก็ส่งมาให้ดู เลยนึกในใจขึ้นมา
“ว่าแล้ว”
ส่วนตัวไม่ได้คิดว่าต้องการให้เป็นกระแส เพราะมองว่าจุดที่เราอยู่หน้างาน ทำยังไงให้คนดูได้รู้ว่า ข้อสมมุติฐานที่อยู่บนศพน้องชมพู่ เกิดจากรอยอะไรกันแน่ พยายามใช้แขนขา และหัวเข่า ถูไปบนพื้นจุดที่ติดกอไผ่ แต่ก็ไม่เกิดรอย จึงได้ตัดสินใจทำตามคำแนะนำของกองบรรณาธิการข่าว ยอมที่จะถอดเสื้อลงไปนอนซึ่งผมเคยพูดมาเสมอว่า
“การทำข่าวต้องทุ่มเท และทำมันออกมาให้ดีที่สุด”
ผมจึงยึดถือคำนี้และยอมที่จะถอดเสื้อลงไปนอนในกอไผ่
เ
ล่าเรื่องสนุกๆ
สมัยเรียนที่
SPU
ใ
ห้ฟังหน่อยครับ
พี่นัท :
ไม่รู้จะสนุกมั้ยนะ ด้วยตึกของมหาวิทยาลัยมีหลายชั้น แม้ว่าจะสีลิฟและบันไดเลื่อน
แต่ในวันสอบทั้งกลางภาค - ปลายภาค ทำให้ทุกคนต้องไปออกันขึ้นลิฟ รวมถึงมีนักศึกษาเยอะด้วย ความบันเทิงจึงเกิดขึ้นทุกครั้งสำหรับการทำเวลาเข้าสอบ ทำไงล่ะก็ต้องวิ่งและต้องหาทางขึ้นไปบนตึกให้เร็วที่สุดน่ะสิครับ โดยการวิ่งขึ้นบันไดหนีไฟเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ในตอนนั้นทุกคนพร้อมใจกันวิ่งจากชั้น 1 ไปชั้น 9-10 ทั้งหอบและเหนื่อย และไม่ใช่แค่ผมที่วิ่ง มีเพื่อนคนอื่นๆ ก็วิ่งเหมือนเช่นเดียวกัน เป็นอะไรที่นรกมากสำหรับวันสอบ 555+ ตอนนั้นเหนื่อยนะ แต่พอมาย้อนนึกถึงก็อดขำตัวเองไม่ได้ ถึงว่าเป็นช่วงสนุกๆในวัยเรียนครับ และทุกวันนี้ถ้านึกถึงเมื่อไหร่ก็ยังอดขำไม่ได้ทุกที
0
SHARES