บทความ : การคุ้มครองข้อมูลส่วนตัวของเด็กและเยาวชนบนโลกออนไลน์
26
Jan
ในปัจจุบัน โลกเครือข่ายในยุคไร้พรมแดนนั้น มีบทบาทสำคัญและมีส่วนเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกรรม การติดต่อสื่อสาร ค้นคว้าหาข้อมูล รวมถึงใช้เป็นฐานเก็บข้อมูลสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อการใช้อินเทอร์เน็ตซึ่งเป็น เครือข่ายนานาชาติ ที่เกิดจากเครือข่ายเล็ก ๆ มากมาย รวมเป็นเครือข่ายเดียวกันทั้งโลกมีความสำคัญและมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว การใช้โซเชียลมีเดีย (Social Media) ไม่ว่าจะเป็นเฟสบุค (Facebook) อินสตาแกรม (Instagram) ทวิตเตอร์ (Twitter) ยูทูป (Youtube) ติ๊กต่อก (TIK-TOK) ฯลฯ จึงเข้ามามีบทบาทและได้รับความนิยม เป็นเสมือนอีกสังคมหนึ่ง ซึ่งทำให้ทุกคนมีสิทธิที่จะเป็นคนมีชื่อเสียงในโลกโซเชียลมีเดีย เป็นเนตไอดอล (Net Idol) ทำให้คนธรรมดาได้ใกล้ชิดกับคนมีชื่อเสียงหรือบุคคลสาธารณะ และเป็นช่องทางการทำธุรกิจ หรือการตลาดของผู้ประกอบการออนไลน์ด้วย โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ปกครองสร้างเฟสบุค หรืออินสตาแกรมของลูก หรือนำภาพไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่งหรือเคลื่อนไหวของเด็กมาลงในโซเชียลมีเดีย สิทธิขั้นพื้นฐานที่สำคัญซึ่งมีในรัฐธรรมนูญทุกฉบับนั้น มีหลักการที่สำคัญว่า มนุษย์ทุกคนจะมีสิทธิในชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน ฯลฯ และกฎหมายให้ความสำคัญกับ “การคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล” รวมถึงการให้ข้อมูลส่วนบุคคลด้วย สิทธิส่วนบุคคลเป็นสิ่งสำคัญต่อเด็กเพราะช่วยในการควบคุมการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวเด็ก ซึ่งสิ่งนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญในการพัฒนาตามธรรมชาติของเด็กเนื่องจากความเป็นส่วนตัวถูกนำมาเชื่อมโยงกับการสร้างอัตลักษณ์และความสามารถที่จะเข้าไปในความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น เด็กๆเหล่านี้ ยังไม่สามารถใช้โซเชียลมีเดียได้ด้วยตัวเอง เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี สามารถเล่นเฟสบุค ลงภาพในอินสตาแกรมเองได้ดังนั้น ความเคลื่อนไหวต่างๆของเด็กที่เราเห็นบนโลกออนไลน์ จึงเป็นการโพสโดยพ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็ก ซึ่งการแชร์รูปหรือวีดีโอของเด็กๆเหล่านี้นั้น อาจมีบุคคลเข้ามาชื่นชมและแชร์รูปหรือคลิปดังกล่าวในความน่ารักและความไร้เดียงสาของเด็ก แต่ในขณะเดียวกันอีกแง่มุมหนึ่งนั้น อาจเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของเด็กในแง่ของข้อมูลส่วนบุคคลไม่ว่าจะเป็นชื่อ อายุ เพศ ที่อยู่ ฯลฯ หรือถูกนำไปใช้ในการทำการตลาดบนโลกออนไลน์รวมถึงการนำภัยมาสู่เด็กโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเครือข่ายสังคมต่างๆบนอินเทอร์เน็ตไม่ว่าจะเป็นการสนทนาออนไลน์ กระดานข่าว หรือเว็บไซต์ต่างๆมีผู้ใช้เป็นจำนวนมากที่เป็นเด็ก ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อเด็กมากขึ้นหากนำไปใช้ในทางที่ผิดจะทำให้เกิดภยันตรายต่อเด็กตามมา เช่น กระทำการแสวงหาผลประโยชน์เชิงพาณิชย์จากเด็กออนไลน์ การล่อลวงเด็ก เป็นต้น ซึ่งสาเหตุที่สำคัญสาเหตุหนึ่งของปัญหาเหล่านี้เกิดจากการละเมิดความเป็นส่วนตัวของเด็กโดยมีการเปิดเผยข้อมูลอันเป็นข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือโดยมีลักษณะที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อเด็กได้สำหรับกฎหมายไทยนั้น มีพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 27 “ห้ามโฆษณาหรือเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็ก โดยเจตนาที่จะทำให้ เกิดความเสียหายแก่จิตใจ ชื่อเสียง หรือเกียรติคุณ หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์สำหรับตัวเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ” ซึ่งในการให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กนั้นครอบคลุมถึงข้อมูลส่วนบุคคลบนอินเทอร์เน็ตหรือไม่นั้น ยังไม่ตัวบทกฎหมายระบุไปอย่างชัดเจน ทำให้เจ้าของเว็บไซต์หรือผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทาการจัดเก็บประมวลผลนำไปใช้หรือเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กที่เข้าบริการอินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยกระทำในลักษณะที่อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อเด็กหรือเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิชอบด้วยกฎหมายได้สำหรับเหตุผลที่ต้องคุ้มครองสิทธิเด็กนั้น เนื่องจากเด็กไม่รู้และไม่สามารถใช้สิทธิได้ด้วยตัวเอง ประเทศในสหภาพยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน กฎหมายเรื่องความเป็นส่วนตัวของเด็กเข้มงวดมาก โดยเฉพาะการลงรูปภาพหรือวีดีโอของเด็กบนสื่อออนไลน์ พ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็กอาจถูกเด็กฟ้องในภายภาคหน้าเนื่องจากการโพสภาพของพวกเขาเมื่อครั้นยังเยาว์วัย พ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็กดังกล่าวอาจถูกตัดสินให้จำคุกได้จากการละเมิดความเป็นส่วนตัวดังกล่าว และการโพสรูปหรือวีดีโอของเด็กบนสื่อออนไลน์ อาจทำให้กลุ่มคนที่มีรสนิยมชอบร่วมเพศกับเด็ก (Paedophiles) ใช้ประโยชน์จากภาพหรือวีดีโอของเด็กบนสื่อออนไลน์ ซึ่งจะนำอันตรายมาสู่เด็กในชีวิตจริงได้ ในประเทศเยอรมันนั้น กำหนดอายุของเด็กคือบุคคลที่อายุต่ำกว่า 14 ปี ห้ามพ่อแม่หรือผู้ปกครองเด็ก เช็คอิน (check in) ว่าเด็กอยู่ที่ใดบนสื่อออนไลน์ เช่น เฟสบุค หรือ อินสตาแกรม แม้เด็กจะอยู่กับพ่อแม่หรือผู้ปกครองก็ตาม
สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กบนโลกออนไลน์ (CHILDREN'S ONLINE PRIVACY PROTECTION ACT1998 หรือ COPPA) โดยกำหนดอายุของเด็กคือบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปีนั้น ไม่ควรอยู่ในสื่อสังคมออนไลน์ อย่างเช่น เฟสบุค ซึ่งทางเฟสบุคเองก็มีนโยบายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีมีบัญชี (account)เฟสบุคเป็นของตนเอง สำหรับกรณีพ่อแม่หรือผู้ปกครองโพสรูปภาพหรือวีดีโอของเด็กนั้น ทางเฟสบุคได้พิจารณาเรื่องการสร้างระบบเพื่อแจ้งเตือนผู้ปกครองที่เอารูปลูกหลานขึ้นออนไลน์โดยไม่ได้ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวไว้ ซึ่งทางเฟสบุคได้เตือนเรื่องนี้ในออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกาเช่นกัน เพื่อให้เกิดความชัดเจนระหว่างความเป็นสาธารณะ (public) และความเป็นส่วนบุคคล (private) ส่วนอินสตาแกรม ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกับเฟสบุค ได้ออกนโยบายให้สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กบนโลกออนไลน์เช่นกัน โดยกำหนดว่าบุคคลที่มีบัญชีกับอินสตาแกรมได้จะต้องมีอายุ 13 ปีขึ้นไปหรือในบางกรณีที่มีคำสั่งศาลหรือกฎหมายควบคุม อาจบังคับให้เจ้าของ
บัญชีต้องมีอายุมากกว่านั้น หากสงสัยว่ามีคนแปลกหน้าหรือได้มีทำบัญชีของเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี สามารถรีพอร์ตข้อมูลมาได้ ดังนั้นเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี จึงไม่สามารถมีบัญชีส่วนตัวของตัวเองได้ หากมีทางอินสตาแกรมจะทำการลบบัญชีส่วนตัวดังกล่าว เหมือนกับกรณีที่เคยเกิดกับลูกหรือน้องของดารา บุคคลที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย ในส่วนของประเทศไทยนั้นควรมีบทบัญญัติของกฎหมายหรือกำหนดเรื่องนโยบายความเป็นส่วนตัวออนไลน์ที่ชัดเจนในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลออนไลน์ของเด็ก อีกทั้งมาตรฐานในการสร้างและรักษาฐานข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อปกป้องความลับการรักษาความปลอดภัยและความสมบูรณ์ของข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กและที่สำคัญคือ ควรกำหนดมิให้ผู้ใช้อำนาจปกครองใช้ เปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กทางโซเชียล มีเดีย โดยไม่คำนึงถึงสิทธิความเป็นส่วนตัวของเด็ก ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยและประโยชน์สูงสุดของเด็กทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กบนโลกออนไลน์ (CHILDREN'S ONLINE PRIVACY PROTECTION ACT1998 หรือ COPPA) โดยกำหนดอายุของเด็กคือบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปีนั้น ไม่ควรอยู่ในสื่อสังคมออนไลน์ อย่างเช่น เฟสบุค ซึ่งทางเฟสบุคเองก็มีนโยบายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีมีบัญชี (account)เฟสบุคเป็นของตนเอง สำหรับกรณีพ่อแม่หรือผู้ปกครองโพสรูปภาพหรือวีดีโอของเด็กนั้น ทางเฟสบุคได้พิจารณาเรื่องการสร้างระบบเพื่อแจ้งเตือนผู้ปกครองที่เอารูปลูกหลานขึ้นออนไลน์โดยไม่ได้ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวไว้ ซึ่งทางเฟสบุคได้เตือนเรื่องนี้ในออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกาเช่นกัน เพื่อให้เกิดความชัดเจนระหว่างความเป็นสาธารณะ (public) และความเป็นส่วนบุคคล (private) ส่วนอินสตาแกรม ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกับเฟสบุค ได้ออกนโยบายให้สอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กบนโลกออนไลน์เช่นกัน โดยกำหนดว่าบุคคลที่มีบัญชีกับอินสตาแกรมได้จะต้องมีอายุ 13 ปีขึ้นไปหรือในบางกรณีที่มีคำสั่งศาลหรือกฎหมายควบคุม อาจบังคับให้เจ้าของ
บัญชีต้องมีอายุมากกว่านั้น หากสงสัยว่ามีคนแปลกหน้าหรือได้มีทำบัญชีของเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี สามารถรีพอร์ตข้อมูลมาได้ ดังนั้นเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี จึงไม่สามารถมีบัญชีส่วนตัวของตัวเองได้ หากมีทางอินสตาแกรมจะทำการลบบัญชีส่วนตัวดังกล่าว เหมือนกับกรณีที่เคยเกิดกับลูกหรือน้องของดารา บุคคลที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย ในส่วนของประเทศไทยนั้นควรมีบทบัญญัติของกฎหมายหรือกำหนดเรื่องนโยบายความเป็นส่วนตัวออนไลน์ที่ชัดเจนในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลออนไลน์ของเด็ก อีกทั้งมาตรฐานในการสร้างและรักษาฐานข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อปกป้องความลับการรักษาความปลอดภัยและความสมบูรณ์ของข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กและที่สำคัญคือ ควรกำหนดมิให้ผู้ใช้อำนาจปกครองใช้ เปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กทางโซเชียล มีเดีย โดยไม่คำนึงถึงสิทธิความเป็นส่วนตัวของเด็ก ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยและประโยชน์สูงสุดของเด็กทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ทัชชภร มหาแถลง
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม