กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
ปัจจุบันกล่าวได้ว่าพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนเริ่มเปลี่ยนไป
“นักลงทุนเริ่มมีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนมากขึ้น”
ปัจจุบันมีทางเลือกการลงทุนมากมายที่มีระดับความเสี่ยงและระดับผลตอบแทนที่แตกต่างกันไป ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มหันมาสนใจการลงทุนในรูปแบบต่างๆ การลงทุนในหลักทรัพย์ การลงทุนผ่านกองทุนรวม และการลงทุนในพันธบัตร เป็นต้น
“การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ถือเป็นทางเลือกหนึ่งและสิ่งที่จูงใจนักลงทุน”
การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่เป็นแรงจูงใจสำหรับนักลงทุนก็คือ
ผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับซึ่งอยู่ในรูปของเงินปันผล และกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์
โดยเฉพาะกองทุนรวมที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากผู้ลงทุน ซึ่งการลงทุนในกองทุนรวมมีข้อดีหลายประการ
1. ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนคอยดูแล
2. การรวมกันตัดสินใจ
3. มีการกระจายความเสี่ยง
การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์นั้น “มีให้เลือกตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำไป ถึงความเสี่ยงสูง” กองทุนรวมจึงเป็นเครื่องมือในการลงทุนรูปแบบหนึ่งซึ่งเป็นการระดมเงินจากนักลงทุนและมอบให้ผู้เชี่ยวด้านการลงทุนเป็นผู้ดูแลในการจัดการกองทุน
การลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์นั้น “สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท”
1.กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แบบมีกรรมสิทธ์ หรือ Freehold กองทุนมีกรรมสิทธิ์ ในการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ ซึ่งรายได้ของกองทุนรวมมาจากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ และนำรายได้มา “ปล่อยเช่าพื้นที่” มาจ่ายเป็นเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุน
“ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับคืนเพิ่มขึ้นในรูปแบบกำไรที่เกิดจากส่วนต่างของราคาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์”
2. กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แบบสิทธิการเช่า หรือ Leasehold กองทุนซื้อเพียง สิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ใน “อสังหาริมทรัพย์” ที่ลงทุนมีเพียงสิทธิในการนำอสังหาริมทรัพย์นั้นหา “ผลตอบแทน” ในช่วงระยะเวลาของสัญญาเช่า ซึ่งเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่า มูลค่าหน่วยลงทุนจะเป็นศูนย์ ดังนั้นกองทุนจะได้รับรายได้ค่าเช่าในช่วงที่อยู่ในระยะสิทธิการเช่าเท่านั้น
การลงทุนนั้นย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงในหลายปัจจัยดังนั้น เราจึงต้องมี “ความรู้” ในการลงทุนในทุกครั้งและเตรียมความพร้อมรับ “ความเสี่ยง” ด้วย
อาจารย์กิตติยา จิตต์อาจหาญ
อาจารย์สาขาวิชาการบัญชี คณะบัญชี มหาวิทยาลัยศรีปทุม