บทความ : เปิดใจ STARTUP ไฟแรง เคล็ดลับความสำเร็จของ CEO พันล้าน ผู้เปิดมิติ Digital Content เป็นธุรกิจ E-book ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย1
25
Feb
เปิดใจ STARTUP ไฟแรง เคล็ดลับความสำเร็จของ CEO พันล้าน ผู้เปิดมิติ Digital Content เป็นธุรกิจ E-book ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
เมื่อวันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ.2561 ที่ผ่านมา คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ร่วมกับคณะบัญชี มหาวิทยาลัยศรีปทุม จัดเสวนาพิเศษ Tech Season 2#3 ในหัวข้อ “เปิดใจ STARTUP ไฟแรง เคล็ดลับความสำเร็จของ CEO พันล้าน ผู้เปิดมิติ Digital Content เป็นธุรกิจ E-book ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย” โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรพิเศษคือ คุณณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ Founder OokBee ร่วมเสวนา ณ ห้อง Auditorium 1 ชั้น 14 อาคาร 40 ปี มหาวิทยาลัยศรีปทุม พอสรุปประมวลความได้ดังต่อไปนี้
คุณณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ เล่าว่า เขาเรียนจบทางด้านวิศวกรรมการบินมา และต่อปริญญาโททางด้านวิศวกรรมอุตสาหการ อาชีพเดิม คือ การรับจ้างเขียนโปรแกรม โดยเปิดบริษัทของตัวเองชื่อ IT Work รับจ้างเขียนโปรแกรมทั่วไป และลูกค้าหลักก็เป็นคนทั่วไป ไม่ใช่บริษัท ต่อมาตอนที่ iPhone เปิดตัวใหม่ๆ ในปี ค.ศ.2008 ผมก็นำเอาโทรศัพท์ไปถ่ายรูปสาวๆ ที่เขาแต่งตัวสวยๆ แถวสยามสแควร์ โดยให้เขาถือเป็น Back Board แล้วนำรูปเหล่านั้น มาทำ Application ใน 1 นาทีเปลี่ยนรูปสาวๆ ไปได้ 1 คน ได้เงินมา 20,000 กว่าบาท และก็มีคนเข้ามาเรื่อยๆ นี่เป็นจุดเริ่มของไอเดียเปิดบริษัท ความจริงโดยปกติมีคนถ่ายรูปอยู่แล้ว คือคนที่ทำนิตยสารนั่นเอง เราคงเคยได้ยินว่า Thailand 4.0 คำว่า Thailand 4.0 นั้น เป็นวิสัยทัศน์เชิงนโยบายในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่ก่อนจะมาถึง Thailand 4.0 นั้น เริ่มมีมาตั้งแต่ Thailand 1.0 คือยุคเกษตรกรรม เน้นการผลิต การขายพืชพันธุ์ทางการเกษตรเป็นหลัก เช่น การขายข้าว ขายพืชผัก พืชไร่ พืชสวน สุกร เป็ด ไก่ เป็นต้น ต่อมาเข้าสู่ยุค Thailand 2.0 ยุคอุตสาหกรรมเบา เน้นการผลิตสินค้าที่มีน้ำหนักเบา เป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ต้องใช้ทุนมากนัก เช่น การผลิตเครื่องนุ่งห่ม เครื่องหนัง รองเท้า กระเป๋า เครื่องดื่ม เครื่องเขียน เครื่องประดับ การทำอาหารกระป๋อง การผลิตยา และเครื่องเวชภัณฑ์ การผลิตอลูมิเนียม เครื่องวิทยุ โทรทัศน์ การผลิตเครื่องเด็กเล่น รวมถึงการผลิตแป้งชนิดต่างๆ ตัวอย่างสินค้าของ Thailand 2.0 คือ สินค้า OTOP ยุค Thailand 3.0 เน้นอุตสาหกรรมหนักและการส่งออก เช่น ผลิต และส่งออกขายเหล็กกล้า เช่น รถยนต์ กลั่นน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ปูนซีเมนต์ เป็นต้น ในยุคนี้ ถึงแม้ประเทศไทยสามารถทำได้ดีในระดับหนึ่งแต่เสียเปรียบในเรื่องของค่าแรง เนื่องจากแรงงานของประเทศเพื่อนบ้านมีค่าแรงถูกกว่าไทย สุดท้ายคือยุค Thailand 4.0 เป็นวิสัยทัศน์เชิงนโยบายโมเดลพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ยึดหลัก “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ประเทศไทยต้องมี Innovation หรือนวัตกรรม ถึงจะสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ Thailand 4.0 นั้น เน้นการนำเอาเทคโนโลยีเข้าไปช่วย เช่น Smart Farming ในขณะเดียวกันรัฐบาลชุดนี้ก็หันมาให้การสนับสนุน Startup อย่างเช่น ตอนนี้ ผมเองก็มาทำอุ๊คบี (OokBee) เป็นแอพลิเคชั่นสำหรับคนรักการอ่านหนังสือ OokBee สามารถรองรับการใช้งานได้ทั้งบน iPhone และ iPad และเป็น Startup ชนิดหนึ่ง คำว่า OokBee เป็นคำผวนมากจากคำว่า e-Book มีเงินเข้ามาช่วยร่วม 1,000 ล้านบาท Ookbee เป็นร้านหนังสือดิจิทัลที่มีตลาดใหญ่ที่สุดใน South East Asia เริ่มเปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 มีลูกค้ากว่า 6 ล้านคน มีเพิ่มขึ้น 10,000-20,000 คน ทำซ้ำได้ โตเร็ว คล้ายๆ กับการทำร้านกาแฟ ถ้ามีร้านกาแฟเพิ่มขึ้นเป็น 20 ร้าน ก็แสดงว่าเติบโตขึ้น แต่ก็ทำได้ยาก นี่เป็นธุรกิจโมเดล มีลูกค้าเพิ่มขึ้นวันละ 10,000 คน ถ้าสามารถรับได้ก็แสดงว่าเป็น Startup สำหรับ Ookbee ลูกค้าจ่ายเงินเพียง 199 บาทก็มีหนังสือมาให้อ่าน ตอนนี้ ได้ขยายฐานธุรกิจไปยังประเทศต่างๆ ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เมื่อสมัยก่อนคนที่ต้องการจะออกแบบบ้าน ต้องซื้อหนังสือ บ้านและสวน มาอ่าน แต่ปัจจุบันไม่มีคนซื้อหนังสือแล้ว ถ้าเราเปิดดูเว็บ Sanook ไทยรัฐ เดลินิวส์ ก็จะเหมือนกัน ไอเดียของผมคือว่า “ต้องการให้คนใช้และคนสร้างเป็นคนๆ เดียวกัน” เช่น Instagram ก็เช่นเดียวกัน ตัวอย่าง Startup อีกอย่างหนึ่งก็คือ Line ความจริง Line เกิดทีหลัง Ookbee อีก และต่อมาผม และคุณเรืองโรจน์ พูนผล (กระทิง) ซึ่งเป็นคนไทยที่เคยไปทำงานอยู่ที่ Google ใน Silicon Valley เราทั้ง 2 คน มีความฝันที่จะสร้าง Silicon Valley ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย จึงได้ร่วมกันก่อตั้งกองทุน 500 Tuk Tuks เพื่อสนับสนุนให้ทุนกับกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีที่เป็น Startup ดูแลบริหารเงินมากกว่า 18,000 ล้าน บริษัท Glab Taxi ก็ไปลงทุนด้วยเหมือนกันเรียกว่า Startup Glab มีคนกดเข้ามาร่วม 5 ล้านครั้ง มีเงินหมุนเวียน 1,000 ล้านบาทต่อวัน มีบริษัทอยู่ร่วม 1,000 บริษัท
Joy ก็เป็น Application อีกอย่างหนึ่งที่สร้างขึ้น มีหนังสือนิยาย มีเพลงให้ฟัง, และสามารถดูทีวีออนไลน์ได้ ส่วน OokBee Comics เป็น Application เกี่ยวกับการ์ตูนมีพระเอกขับรถวินมอเตอร์ไซด์ นางเอกทำงานอยู่ที่ 7Eleven มีคนเข้าไปดาวน์โหลดอ่านเป็นจำนวนมาก ชื่อเรื่อง “รักของพี่อยู่ที่ Seven” มีคนอ่าน 20 ล้านครั้ง อีกเรื่องหนึ่งคือ เมื่อฉันเป็นสาว ม.ปลาย มีคนเข้าไปอ่านร่วม 30 ล้านครั้ง การที่จะเขียนนิยายได้ต้องเป็นคนที่อ่านหนังสือมากๆ หรือจะเขียนเกี่ยวกับศิลปะการถ่ายภาพ ก็ต้องหัดถ่ายภาพมาเป็นจำนวนมากๆ หรืออาจจะถ่ายภาพเกี่ยวกับอาหารก็ได้ Application การอ่านนิยาย คนอ่านจะต้องเติมเงิน อ่านน้อยก็จ่ายน้อย เช่น อ่านนิยาย 1 ตอน จ่ายเงิน 3 บาทและหลังจากนั้นจะได้กุญแจมา เพื่อเอากุญแจไขเข้าไปอ่าน สำหรับส่วนแบ่งนั้น จะแบ่งให้คนเขียน 50%/50% ตอนนี้ยอดขายหนังสือที่มีคนอ่านมากที่สุดอันดับ 1 ได้เงินกว่า 1 ล้านบาทต่อเดือน ส่วนอันดับ 2 ได้เงิน 5 แสนบาทต่อเดือน ในวันหนึ่งๆ ตอนนี้มีคนส่งเรื่องเข้ามา 5 พันกว่าเรื่องต่อวัน มีคนให้เงินสนับสนุนเป็นเงินร่วม 1,000 ล้านบาท ธุรกิจอย่างนี้ ไป Disrupts ธุรกิจสิ่งพิมพ์
ส่วนคำว่า Startup ต่างจาก SMEs อย่างไร ผมขอนิยามให้ดังนี้ “ทุก Startup เป็น SMEs แต่ทุก SMEs ไม่ได้เป็น Startup” Startup คือ SMEs ที่มองหาโมเดลในการทำธุรกิจที่สามารถทำซ้ำได้และเติบโตอย่างก้าวกระโดด ดังนั้น หัวใจของ Startup คือ ทำซ้ำได้และเติบโตแบบก้าวกระโดด Startup เป็นมากกว่าธุรกิจขนาดเล็ก และเป็นธุรกิจที่ถูกออกแบบมาแบบก้าวกระโดด มีวิธีสร้างรายได้ที่สามารถหาเงินแบบทำซ้ได้และขยายตัวอย่างรวดเร็ว Startup นั้นต้องใช้ไอทีเข้าไปช่วย และไอทีกลายเป็นหัวใจสำคัญ จึงทำให้ต้องมีการเปลี่ยนชื่อกระทรวงเป็นกระทรวง ICT มาเป็นกระทรวง Digital Economy (DE) แต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมเพียงเปลี่ยนชื่อเท่านั้น การทำ Startup นั้น ต้องมีศีลธรรม อย่างเช่น Uber ก็ผิดกฎหมายประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยเองก็ยังไม่ยอมรับ เพราะไม่รู้ว่าเอาใครมาขับรถแท็กซี่ ต้องแยกให้ออก ก่อนที่จะมีรถยนต์มันก็มีรถม้ามาก่อน คนขับรถม้าก็ไม่อยากให้มีรถยนต์ เพราะเขาไม่อยากให้รถยนต์เกิด หรือ Take me Tour เป็น Startup คล้ายกับไกด์เถื่อน ใครอยากจะเป็นไกด์ลองเข้าไปดู คือให้เข้า List ขึ้นมา 1 รายการใน Take me Tour และพาไปเที่ยว หรือตัวอย่างเรื่องของ Bitcoin บางประเทศก็ยังไม่ยอมรับ เพียงผิดกฎหมายไม่สำคัญ แต่อย่าให้ผิดศีลธรรมก็แล้วกัน ส่วน SME นั้นเจ้าของธุรกิจเป็นผู้ลงทุนเอง และมีการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป
สรุปท้ายสุด 7 ประเด็นสำคัญที่ทำให้ได้เรียนรู้ในการทำธุรกิจจากคุณณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ (คุณหมู) Founder OokBee (1). การทำธุรกิจนั้น ควรคำนึงเรื่องที่ถูกศีลธรรมเป็นหลัก “ผู้ชนะไม่เคยโกง, ผู้โกงไม่เคยชนะ (Winners never cheat, Cheaters never win)” (2). การทำธุรกิจใดบ้างที่ไม่มีความเสี่ยง “มีความเสี่ยงใดบ้าง? ที่มีความปลอดภัย (Is there such a thing as a safe bet?)” ดังนั้น การลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยงและปลอดภัยที่สุด คือ การลงทุนด้วยตัวของเราเอง เช่น การออกกำลังกาย ก็เป็นตัวอย่างการลงทุนด้วยตัวเอง (3) ต้องมีการวางแผนอย่างมาก (Dither ,dither, plan ,plan) (4) จะทำสิ่งใดต้องดูยาวๆ มุ่งเน้นการให้ผลในระยะยาว (Focus on the long term) แตลองหัดทำหัดมองสั้นๆ ก้าวนิ่งๆ รู้สั้นๆ และทำให้เร็วขึ้นดูก่อนว่าจะไปรอดหรือไม่? (5) เราสามารถสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้โดยการจับเพียง X% ของตลาด (We can build a successful business by capturing just x% of the market) นั่นคือ การออกไปขายของให้ได้จำนวนมากๆ ให้มองว่า ทุกปัญหา คือ โอกาส ไม่ว่าจะเป็น มาร์ค ซักเคอร์เบิรก์ แห่ง Facebook, อีรอน มัสก์ ผู้ก่อตั้ง PayPal, และสตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัท Apple ก็ล้วนแล้วแต่เคยประสบปัญหามาแล้วด้วยกันทั้งสิ้น (6) ลดอีโก้ของตัวเองลง อย่าคิดว่า ฉันรู้มากกว่าคนอื่น (I know more than anyone else) บางอย่างเราก็ไม่เก่งเท่าคนอื่น เช่น เรื่องการทำบัญชี เราควรเปิดโอกาสให้คนอื่นทำไป ต้องเชื่อใจเขา และ (7) ต้องมีจินตนาการที่ดี ใช้เวลาให้คุ้มค่า ในท้ายที่สุดเราก็เสียใจมากที่เราไม่ได้ใช้เวลาได้อย่างเต็มที่ (In the end we only regret the chance we didn’t take) และจะมานึกเสียดายเวลาทีหลังว่า ยังไม่ได้ทำประโยชน์อันใด.
โดย ผศ.สุพล พรหมมาพันธุ์
อาจารย์ที่ประจำสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
เมื่อวันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ.2561 ที่ผ่านมา คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ร่วมกับคณะบัญชี มหาวิทยาลัยศรีปทุม จัดเสวนาพิเศษ Tech Season 2#3 ในหัวข้อ “เปิดใจ STARTUP ไฟแรง เคล็ดลับความสำเร็จของ CEO พันล้าน ผู้เปิดมิติ Digital Content เป็นธุรกิจ E-book ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย” โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรพิเศษคือ คุณณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ Founder OokBee ร่วมเสวนา ณ ห้อง Auditorium 1 ชั้น 14 อาคาร 40 ปี มหาวิทยาลัยศรีปทุม พอสรุปประมวลความได้ดังต่อไปนี้
คุณณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ เล่าว่า เขาเรียนจบทางด้านวิศวกรรมการบินมา และต่อปริญญาโททางด้านวิศวกรรมอุตสาหการ อาชีพเดิม คือ การรับจ้างเขียนโปรแกรม โดยเปิดบริษัทของตัวเองชื่อ IT Work รับจ้างเขียนโปรแกรมทั่วไป และลูกค้าหลักก็เป็นคนทั่วไป ไม่ใช่บริษัท ต่อมาตอนที่ iPhone เปิดตัวใหม่ๆ ในปี ค.ศ.2008 ผมก็นำเอาโทรศัพท์ไปถ่ายรูปสาวๆ ที่เขาแต่งตัวสวยๆ แถวสยามสแควร์ โดยให้เขาถือเป็น Back Board แล้วนำรูปเหล่านั้น มาทำ Application ใน 1 นาทีเปลี่ยนรูปสาวๆ ไปได้ 1 คน ได้เงินมา 20,000 กว่าบาท และก็มีคนเข้ามาเรื่อยๆ นี่เป็นจุดเริ่มของไอเดียเปิดบริษัท ความจริงโดยปกติมีคนถ่ายรูปอยู่แล้ว คือคนที่ทำนิตยสารนั่นเอง เราคงเคยได้ยินว่า Thailand 4.0 คำว่า Thailand 4.0 นั้น เป็นวิสัยทัศน์เชิงนโยบายในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่ก่อนจะมาถึง Thailand 4.0 นั้น เริ่มมีมาตั้งแต่ Thailand 1.0 คือยุคเกษตรกรรม เน้นการผลิต การขายพืชพันธุ์ทางการเกษตรเป็นหลัก เช่น การขายข้าว ขายพืชผัก พืชไร่ พืชสวน สุกร เป็ด ไก่ เป็นต้น ต่อมาเข้าสู่ยุค Thailand 2.0 ยุคอุตสาหกรรมเบา เน้นการผลิตสินค้าที่มีน้ำหนักเบา เป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ต้องใช้ทุนมากนัก เช่น การผลิตเครื่องนุ่งห่ม เครื่องหนัง รองเท้า กระเป๋า เครื่องดื่ม เครื่องเขียน เครื่องประดับ การทำอาหารกระป๋อง การผลิตยา และเครื่องเวชภัณฑ์ การผลิตอลูมิเนียม เครื่องวิทยุ โทรทัศน์ การผลิตเครื่องเด็กเล่น รวมถึงการผลิตแป้งชนิดต่างๆ ตัวอย่างสินค้าของ Thailand 2.0 คือ สินค้า OTOP ยุค Thailand 3.0 เน้นอุตสาหกรรมหนักและการส่งออก เช่น ผลิต และส่งออกขายเหล็กกล้า เช่น รถยนต์ กลั่นน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ปูนซีเมนต์ เป็นต้น ในยุคนี้ ถึงแม้ประเทศไทยสามารถทำได้ดีในระดับหนึ่งแต่เสียเปรียบในเรื่องของค่าแรง เนื่องจากแรงงานของประเทศเพื่อนบ้านมีค่าแรงถูกกว่าไทย สุดท้ายคือยุค Thailand 4.0 เป็นวิสัยทัศน์เชิงนโยบายโมเดลพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ยึดหลัก “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ประเทศไทยต้องมี Innovation หรือนวัตกรรม ถึงจะสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ Thailand 4.0 นั้น เน้นการนำเอาเทคโนโลยีเข้าไปช่วย เช่น Smart Farming ในขณะเดียวกันรัฐบาลชุดนี้ก็หันมาให้การสนับสนุน Startup อย่างเช่น ตอนนี้ ผมเองก็มาทำอุ๊คบี (OokBee) เป็นแอพลิเคชั่นสำหรับคนรักการอ่านหนังสือ OokBee สามารถรองรับการใช้งานได้ทั้งบน iPhone และ iPad และเป็น Startup ชนิดหนึ่ง คำว่า OokBee เป็นคำผวนมากจากคำว่า e-Book มีเงินเข้ามาช่วยร่วม 1,000 ล้านบาท Ookbee เป็นร้านหนังสือดิจิทัลที่มีตลาดใหญ่ที่สุดใน South East Asia เริ่มเปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 มีลูกค้ากว่า 6 ล้านคน มีเพิ่มขึ้น 10,000-20,000 คน ทำซ้ำได้ โตเร็ว คล้ายๆ กับการทำร้านกาแฟ ถ้ามีร้านกาแฟเพิ่มขึ้นเป็น 20 ร้าน ก็แสดงว่าเติบโตขึ้น แต่ก็ทำได้ยาก นี่เป็นธุรกิจโมเดล มีลูกค้าเพิ่มขึ้นวันละ 10,000 คน ถ้าสามารถรับได้ก็แสดงว่าเป็น Startup สำหรับ Ookbee ลูกค้าจ่ายเงินเพียง 199 บาทก็มีหนังสือมาให้อ่าน ตอนนี้ ได้ขยายฐานธุรกิจไปยังประเทศต่างๆ ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เมื่อสมัยก่อนคนที่ต้องการจะออกแบบบ้าน ต้องซื้อหนังสือ บ้านและสวน มาอ่าน แต่ปัจจุบันไม่มีคนซื้อหนังสือแล้ว ถ้าเราเปิดดูเว็บ Sanook ไทยรัฐ เดลินิวส์ ก็จะเหมือนกัน ไอเดียของผมคือว่า “ต้องการให้คนใช้และคนสร้างเป็นคนๆ เดียวกัน” เช่น Instagram ก็เช่นเดียวกัน ตัวอย่าง Startup อีกอย่างหนึ่งก็คือ Line ความจริง Line เกิดทีหลัง Ookbee อีก และต่อมาผม และคุณเรืองโรจน์ พูนผล (กระทิง) ซึ่งเป็นคนไทยที่เคยไปทำงานอยู่ที่ Google ใน Silicon Valley เราทั้ง 2 คน มีความฝันที่จะสร้าง Silicon Valley ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย จึงได้ร่วมกันก่อตั้งกองทุน 500 Tuk Tuks เพื่อสนับสนุนให้ทุนกับกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีที่เป็น Startup ดูแลบริหารเงินมากกว่า 18,000 ล้าน บริษัท Glab Taxi ก็ไปลงทุนด้วยเหมือนกันเรียกว่า Startup Glab มีคนกดเข้ามาร่วม 5 ล้านครั้ง มีเงินหมุนเวียน 1,000 ล้านบาทต่อวัน มีบริษัทอยู่ร่วม 1,000 บริษัท
Joy ก็เป็น Application อีกอย่างหนึ่งที่สร้างขึ้น มีหนังสือนิยาย มีเพลงให้ฟัง, และสามารถดูทีวีออนไลน์ได้ ส่วน OokBee Comics เป็น Application เกี่ยวกับการ์ตูนมีพระเอกขับรถวินมอเตอร์ไซด์ นางเอกทำงานอยู่ที่ 7Eleven มีคนเข้าไปดาวน์โหลดอ่านเป็นจำนวนมาก ชื่อเรื่อง “รักของพี่อยู่ที่ Seven” มีคนอ่าน 20 ล้านครั้ง อีกเรื่องหนึ่งคือ เมื่อฉันเป็นสาว ม.ปลาย มีคนเข้าไปอ่านร่วม 30 ล้านครั้ง การที่จะเขียนนิยายได้ต้องเป็นคนที่อ่านหนังสือมากๆ หรือจะเขียนเกี่ยวกับศิลปะการถ่ายภาพ ก็ต้องหัดถ่ายภาพมาเป็นจำนวนมากๆ หรืออาจจะถ่ายภาพเกี่ยวกับอาหารก็ได้ Application การอ่านนิยาย คนอ่านจะต้องเติมเงิน อ่านน้อยก็จ่ายน้อย เช่น อ่านนิยาย 1 ตอน จ่ายเงิน 3 บาทและหลังจากนั้นจะได้กุญแจมา เพื่อเอากุญแจไขเข้าไปอ่าน สำหรับส่วนแบ่งนั้น จะแบ่งให้คนเขียน 50%/50% ตอนนี้ยอดขายหนังสือที่มีคนอ่านมากที่สุดอันดับ 1 ได้เงินกว่า 1 ล้านบาทต่อเดือน ส่วนอันดับ 2 ได้เงิน 5 แสนบาทต่อเดือน ในวันหนึ่งๆ ตอนนี้มีคนส่งเรื่องเข้ามา 5 พันกว่าเรื่องต่อวัน มีคนให้เงินสนับสนุนเป็นเงินร่วม 1,000 ล้านบาท ธุรกิจอย่างนี้ ไป Disrupts ธุรกิจสิ่งพิมพ์
ส่วนคำว่า Startup ต่างจาก SMEs อย่างไร ผมขอนิยามให้ดังนี้ “ทุก Startup เป็น SMEs แต่ทุก SMEs ไม่ได้เป็น Startup” Startup คือ SMEs ที่มองหาโมเดลในการทำธุรกิจที่สามารถทำซ้ำได้และเติบโตอย่างก้าวกระโดด ดังนั้น หัวใจของ Startup คือ ทำซ้ำได้และเติบโตแบบก้าวกระโดด Startup เป็นมากกว่าธุรกิจขนาดเล็ก และเป็นธุรกิจที่ถูกออกแบบมาแบบก้าวกระโดด มีวิธีสร้างรายได้ที่สามารถหาเงินแบบทำซ้ได้และขยายตัวอย่างรวดเร็ว Startup นั้นต้องใช้ไอทีเข้าไปช่วย และไอทีกลายเป็นหัวใจสำคัญ จึงทำให้ต้องมีการเปลี่ยนชื่อกระทรวงเป็นกระทรวง ICT มาเป็นกระทรวง Digital Economy (DE) แต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมเพียงเปลี่ยนชื่อเท่านั้น การทำ Startup นั้น ต้องมีศีลธรรม อย่างเช่น Uber ก็ผิดกฎหมายประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยเองก็ยังไม่ยอมรับ เพราะไม่รู้ว่าเอาใครมาขับรถแท็กซี่ ต้องแยกให้ออก ก่อนที่จะมีรถยนต์มันก็มีรถม้ามาก่อน คนขับรถม้าก็ไม่อยากให้มีรถยนต์ เพราะเขาไม่อยากให้รถยนต์เกิด หรือ Take me Tour เป็น Startup คล้ายกับไกด์เถื่อน ใครอยากจะเป็นไกด์ลองเข้าไปดู คือให้เข้า List ขึ้นมา 1 รายการใน Take me Tour และพาไปเที่ยว หรือตัวอย่างเรื่องของ Bitcoin บางประเทศก็ยังไม่ยอมรับ เพียงผิดกฎหมายไม่สำคัญ แต่อย่าให้ผิดศีลธรรมก็แล้วกัน ส่วน SME นั้นเจ้าของธุรกิจเป็นผู้ลงทุนเอง และมีการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป
สรุปท้ายสุด 7 ประเด็นสำคัญที่ทำให้ได้เรียนรู้ในการทำธุรกิจจากคุณณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ (คุณหมู) Founder OokBee (1). การทำธุรกิจนั้น ควรคำนึงเรื่องที่ถูกศีลธรรมเป็นหลัก “ผู้ชนะไม่เคยโกง, ผู้โกงไม่เคยชนะ (Winners never cheat, Cheaters never win)” (2). การทำธุรกิจใดบ้างที่ไม่มีความเสี่ยง “มีความเสี่ยงใดบ้าง? ที่มีความปลอดภัย (Is there such a thing as a safe bet?)” ดังนั้น การลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยงและปลอดภัยที่สุด คือ การลงทุนด้วยตัวของเราเอง เช่น การออกกำลังกาย ก็เป็นตัวอย่างการลงทุนด้วยตัวเอง (3) ต้องมีการวางแผนอย่างมาก (Dither ,dither, plan ,plan) (4) จะทำสิ่งใดต้องดูยาวๆ มุ่งเน้นการให้ผลในระยะยาว (Focus on the long term) แตลองหัดทำหัดมองสั้นๆ ก้าวนิ่งๆ รู้สั้นๆ และทำให้เร็วขึ้นดูก่อนว่าจะไปรอดหรือไม่? (5) เราสามารถสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้โดยการจับเพียง X% ของตลาด (We can build a successful business by capturing just x% of the market) นั่นคือ การออกไปขายของให้ได้จำนวนมากๆ ให้มองว่า ทุกปัญหา คือ โอกาส ไม่ว่าจะเป็น มาร์ค ซักเคอร์เบิรก์ แห่ง Facebook, อีรอน มัสก์ ผู้ก่อตั้ง PayPal, และสตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัท Apple ก็ล้วนแล้วแต่เคยประสบปัญหามาแล้วด้วยกันทั้งสิ้น (6) ลดอีโก้ของตัวเองลง อย่าคิดว่า ฉันรู้มากกว่าคนอื่น (I know more than anyone else) บางอย่างเราก็ไม่เก่งเท่าคนอื่น เช่น เรื่องการทำบัญชี เราควรเปิดโอกาสให้คนอื่นทำไป ต้องเชื่อใจเขา และ (7) ต้องมีจินตนาการที่ดี ใช้เวลาให้คุ้มค่า ในท้ายที่สุดเราก็เสียใจมากที่เราไม่ได้ใช้เวลาได้อย่างเต็มที่ (In the end we only regret the chance we didn’t take) และจะมานึกเสียดายเวลาทีหลังว่า ยังไม่ได้ทำประโยชน์อันใด.
โดย ผศ.สุพล พรหมมาพันธุ์
อาจารย์ที่ประจำสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
โดย ผศ.สุพล พรหมมาพันธุ์
อาจารย์ที่ประจำสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
อาจารย์ที่ประจำสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยศรีปทุม