บทความ SPU : หนี้ กยศ. กรอ.! หักเงินได้จากการจ้างแรงงาน นายจ้างต้องเตรียมตัว ลูกจ้างต้องทำใจ
02
Oct
หนี้ กยศ. กรอ.! หักเงินได้จากการจ้างแรงงาน
นายจ้างต้องเตรียมตัว ลูกจ้างต้องทำใจ
เรื่องโดย : ผู้ช่วยศาสตรจารย์ ดร. โสภณ เจริญ
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
สังคมแรงงานต้องตื่นตัวกันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อกฎหมายกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือเรียกสั้น ๆกันว่า“กฎหมาย กยศ.” กำลังจะบังคับให้นายจ้างผู้จ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างของตน มีหน้าที่หักเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานของลูกจ้างซึ่งเป็นลูกหนี้ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือที่รู้จักเรียกขานกันว่า “กองทุน กยศ.” ตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2541 และกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต หรือที่รู้จักเรียกกันในนามว่า “กองทุน กรอ.” ตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2549 ที่ออกตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 ชำระหนี้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ลูกจ้างได้รับไปใช้จ่ายเป็นเงินค่าเล่าเรียน ค่าบํารุง ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่สถานศึกษาเรียกเก็บ ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา และค่าครองชีพ เป็นต้น ตามสัญญากู้ยืมเงินเมื่อครั้งที่เป็นนักเรียนหรือนักศึกษาคืนกองทุน
ภายหลังจากที่พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2560 ที่ผ่านมา โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกําหนด 180 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ดังนั้น พระราชบัญญัติดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2560 อันใกล้จะถึงนี้เป็นต้นไป ซึ่งยังมีระยะเวลาเพียงพอให้นายจ้างได้มีโอกาสเตรียมความพร้อม วางระบบ สร้างกลไก และบริหารจัดการต่อความเปลี่ยนแปลง ในขณะเดียวกันย่อมเป็นช่วงระยะเวลาให้ลูกจ้างผู้ใช้แรงงานได้มีโอกาสวางแผนการจัดการบัญชีส่วนบุคคล และทำใจเกี่ยวกับการชำระหนี้ กยศ. และหนี้ กรอ. คืนกองทุน รวมทั้งศึกษารับทราบถึง หน้าที่ สิทธิ และความรับผิดตามที่กฎหมายกำหนด โดย “กฎหมาย กยศ.” ฉบันใหม่นี้ ได้บูรณาการการบริหารจัดการและการดำเนินการของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2541 และกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคตตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2549 ที่ออกตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 ให้เป็นเอกภาพอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน และเพิ่มมาตรการในการบริหารจัดการกองทุนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กำหนดให้มีการจัดตั้งกองทุนขึ้น เรียกว่า “กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา” ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐอยู่ในกํากับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาด้วยการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาแก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ หรือในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลัก มีความชัดเจนของการผลิตกําลังคนและมีความจําเป็นต่อการพัฒนาประเทศ หรือในสาขาวิชาขาดแคลน หรือสาขาวิชาที่กองทุนมุ่งส่งเสริมเป็นพิเศษ ตลอดจนเพื่อสร้างความเป็นเลิศให้แก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่เรียนดี โดยมีคณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และควบคุมดูแลกิจการของกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ รวมทั้งมีอำนาจหน้าที่ติดตามและเร่งรัดให้มีการชําระเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาคืนกองทุน ซึ่งการชำระเงินคืนกองทุนนั้น กฎหมายกำหนดให้นักเรียนหรือนักศึกษาผู้ได้รับเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาจากกองทุน มีหน้าที่ต้องชําระเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ได้รับไปตามสัญญากู้ยืมเงินคืนให้กองทุน เมื่อผู้กู้ยืมเงินสําเร็จการศึกษาหรือเลิกการศึกษาแล้ว ตามจํานวน ระยะเวลา และวิธีการที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแจ้งให้ทราบ ด้วยวิธีการให้บุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคล ทั้งภาครัฐและเอกชนผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักเงินได้พึงประเมินของผู้กู้ยืมเงินซึ่งเป็นพนักงาน หรือลูกจ้างของผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินดังกล่าว เพื่อชําระเงินกู้ยืมคืนกองทุนตามจํานวนที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแจ้งให้ทราบ โดยให้นําส่งกรมสรรพากรภายในกําหนดระยะเวลานําส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ซึ่งการหักเงินได้ดังกล่าวต้องหักให้กองทุนเป็นลําดับแรกถัดจากการหักภาษี ณ ที่จ่าย และการหักเงินเข้ากองทุนที่ผู้กู้ยืมเงินต้องถูกหักตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ กฎหมายว่าด้วยกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม ฉะนั้น นายจ้างไม่ว่าจะอยู่ในสถานะของบุคคลธรรมดา คณะบุคคล หรือนิติบุคคล ทั้งภาครัฐวิสาหกิจและภาคเอกชน ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน อันได้แก่ เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ เงินค่าเช่าบ้าน เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า เงินที่นายจ้างจ่ายชำระหนี้ใด ๆ ซึ่งลูกจ้างมีหน้าที่ต้องชำระ และเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ใด ๆ บรรดาที่ได้เนื่องจากการจ้างงาน มีหน้าที่หักเงินได้พึงประเมินของผู้กู้ยืมเงินซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินดังกล่าว เพื่อชําระเงินกู้ยืมคืนตามจํานวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบ ทั้งนี้ หากนายจ้างผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินดังกล่าวไม่ได้ดำเนินการหักเงินได้พึงประเมินก็ดี หรือได้ดำเนินการหักเงินได้พึงประเมินเรียบร้อยแล้วแต่ไม่ได้นําส่งกรมสรรพกรก็ดี หรือได้ดำเนินการนําส่งกรมสรรพกรแล้วแต่นำส่งไม่ครบตามจํานวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบก็ดี รวมถึงได้ดำเนินการหักเงินได้พึงประเมินและนําส่งกรมสรรพกรเกินกําหนดระยะเวลา นายจ้างผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินจำต้องรับผิดชดใช้เงินที่ต้องนําส่งในส่วนของลูกจ้างผู้ซึ่งเป็นลูกหนี้ของกองทุนตามจํานวนที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแจ้งให้ทราบ อีกทั้งต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือนของจํานวนเงินที่นายจ้างผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินยังไม่ได้นําส่ง หรือตามจํานวนที่ยังขาดไป แล้วแต่กรณี นอกจากนี้ นายจ้างผู้ครอบครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกจ้างผู้ซึ่งเป็นลูกหนี้ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) หรือกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) มีหน้าที่จัดส่งข้อมูลให้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาตามที่กองทุนร้องขอภายในเวลาอันสมควร
สำหรับลูกจ้างผู้ซึ่งเป็นลูกหนี้ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) หรือลูกหนี้ของกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) นั้น เมื่อสำเร็จการศึกษาหรือเลิกการศึกษาแล้ว มีหน้าที่ต้องชำระหนี้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ได้รับไปตามสัญญากู้ยืมเงินคืนให้กองทุน ตามจำนวน ระยะเวลา และวิธีการที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแจ้งให้ทราบ และต้องปฏิบัติหน้าที่ของลูกหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินโดยเคร่งครัด กล่าวคือ ประการที่หนึ่ง กระทำการแจ้งสถานะการเป็นผู้กู้ยืมเงินของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) หรือผู้กู้ยืมเงินของกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) แล้วแต่กรณี ต่อนายจ้างที่ตนทำงานด้วยภายใน 30 วันนับแต่วันที่เริ่มปฏิบัติงาน ประการที่สอง ยินยอมให้นายจ้างซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน มีสิทธิหักเงินได้พึงประเมินของตนซึ่งเป็นลูกจ้างของนายจ้างผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินดังกล่าว เพื่อชําระหนี้เงินกู้ยืมคืนกองทุนตามจํานวนที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแจ้งให้ทราบ ดังความยินยอมที่ลูกจ้างได้เคยให้ไว้ในขณะทำสัญญากู้ยืมเงินนั้น ประการที่สาม ยินยอมให้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษามีสิทธิเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของตนที่อยู่ในครอบครองของนายจ้างหรือบุคคลอื่น และประการสุดท้าย ยินยอมให้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษามีสิทธิเปิดเผยข้อมูลของตนเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน และการชำระเงินคืนกองทุนได้
ในการหักเงินได้พึงประเมินของลูกจ้างผู้ซึ่งเป็นลูกหนี้ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) หรือลูกหนี้ของกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) เพื่อชําระเงินกู้ยืมคืนกองทุนจากเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานดังกล่าวมาข้างต้นนั้น แม้จะมีประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ลงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 และพระราชบัญญัติ
คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ห้ามมิให้นายจ้างหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดซึ่งเป็นเงินได้ของลูกจ้างเนื่องจากการจ้างแรงงานไว้ก็ตาม แต่ก็มีข้อยกเว้นให้นายจ้างมีสิทธิหักเงินค่าตอบแทนการทำงานดังกล่าวของลูกจ้างได้ หากเป็นการหักเพื่อชำระเงินอื่นตามที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ตาม ข้อ 31 (1) และมาตรา 76 (1) ของกฎหมายเดียวกัน ฉะนั้น นายจ้างจึงสามารถดำเนินการหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด ซึ่งเป็นเงินค่าตอบแทนการทำงานเนื่องจากการจ้างแรงงานของลูกจ้างผู้ซึ่งเป็นลูกหนี้ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) หรือลูกหนี้ของกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) เพื่อชําระเงินกู้ยืมคืนกองทุนตามจํานวนที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 แจ้งให้ทราบได้โดยชอบ
ท้ายสุดนี้ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เป็นกองทุนสำหรับนักเรียนและนักศึกษาซึ่งเป็นเยาวชนและทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญของชาติ เงินของกองทุนเป็นเงินอุดหนุนที่ได้รับจากรัฐบาล โดยการจัดสรรงบประมาณเพื่อสมทบเข้ากองทุนในแต่ละปี ความเข้มแข็งและมั่นคงของกองทุนจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งต่อการดำรงอยู่ของกองทุน ผู้ได้รับเงินกู้ยืมจากกองทุนถือว่าเป็นผู้ซึ่งได้รับและมีโอกาสที่ดีทางการศึกษา แต่โอกาสที่ดีดังว่านี้ จะไม่อาจตกทอดสู่นักเรียนหรือนักศึกษารุ่นต่อ ๆ ไปได้เลย หากปราศจากซึ่งการชำระเงินคืนกองทุน การปฏิบัติหน้าที่และประสานความร่วมมือของนายจ้างและลูกจ้างผู้ซึ่งเป็นลูกหนี้ของกองทุน เพื่อชําระเงินกู้ยืมคืนตามพระราช
บัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 จึงเป็นระบบและกลไกอันนำไปสู่ความเข้มแข็งและมั่นคงของกองทุน สำหรับสร้างโอกาสที่ดีทางการศึกษาให้แก่น้อง ๆ เยาวชนผู้ซึ่งเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญของชาติในอนาคต
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคณะนิติศาตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม โทร. 0-2579-1111 ต่อ 2383,2258 หรือ 08 9027 2258 โทรสาร 0 2579 1111 ต่อ 2384 เว็บไซต์ https://www.spu.ac.th/fac/law/th/content.php?cid=6738
หรือติดตามกิจกรรมต่างๆได้ที่ https://www.facebook.com/lawsripatum
หรือเยี่ยมชมวิดีทัศน์แนะนำมหาวิทยาลัยศรีปทุมได้ที่ https://www.youtube.com/user/SPUFriends
นายจ้างต้องเตรียมตัว ลูกจ้างต้องทำใจ
เรื่องโดย : ผู้ช่วยศาสตรจารย์ ดร. โสภณ เจริญ
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
สังคมแรงงานต้องตื่นตัวกันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อกฎหมายกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือเรียกสั้น ๆกันว่า“กฎหมาย กยศ.” กำลังจะบังคับให้นายจ้างผู้จ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างของตน มีหน้าที่หักเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานของลูกจ้างซึ่งเป็นลูกหนี้ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือที่รู้จักเรียกขานกันว่า “กองทุน กยศ.” ตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2541 และกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต หรือที่รู้จักเรียกกันในนามว่า “กองทุน กรอ.” ตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2549 ที่ออกตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 ชำระหนี้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ลูกจ้างได้รับไปใช้จ่ายเป็นเงินค่าเล่าเรียน ค่าบํารุง ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่สถานศึกษาเรียกเก็บ ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา และค่าครองชีพ เป็นต้น ตามสัญญากู้ยืมเงินเมื่อครั้งที่เป็นนักเรียนหรือนักศึกษาคืนกองทุน
ภายหลังจากที่พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2560 ที่ผ่านมา โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกําหนด 180 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ดังนั้น พระราชบัญญัติดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2560 อันใกล้จะถึงนี้เป็นต้นไป ซึ่งยังมีระยะเวลาเพียงพอให้นายจ้างได้มีโอกาสเตรียมความพร้อม วางระบบ สร้างกลไก และบริหารจัดการต่อความเปลี่ยนแปลง ในขณะเดียวกันย่อมเป็นช่วงระยะเวลาให้ลูกจ้างผู้ใช้แรงงานได้มีโอกาสวางแผนการจัดการบัญชีส่วนบุคคล และทำใจเกี่ยวกับการชำระหนี้ กยศ. และหนี้ กรอ. คืนกองทุน รวมทั้งศึกษารับทราบถึง หน้าที่ สิทธิ และความรับผิดตามที่กฎหมายกำหนด โดย “กฎหมาย กยศ.” ฉบันใหม่นี้ ได้บูรณาการการบริหารจัดการและการดำเนินการของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2541 และกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคตตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2549 ที่ออกตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 ให้เป็นเอกภาพอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน และเพิ่มมาตรการในการบริหารจัดการกองทุนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กำหนดให้มีการจัดตั้งกองทุนขึ้น เรียกว่า “กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา” ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐอยู่ในกํากับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาด้วยการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาแก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ หรือในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลัก มีความชัดเจนของการผลิตกําลังคนและมีความจําเป็นต่อการพัฒนาประเทศ หรือในสาขาวิชาขาดแคลน หรือสาขาวิชาที่กองทุนมุ่งส่งเสริมเป็นพิเศษ ตลอดจนเพื่อสร้างความเป็นเลิศให้แก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่เรียนดี โดยมีคณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และควบคุมดูแลกิจการของกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ รวมทั้งมีอำนาจหน้าที่ติดตามและเร่งรัดให้มีการชําระเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาคืนกองทุน ซึ่งการชำระเงินคืนกองทุนนั้น กฎหมายกำหนดให้นักเรียนหรือนักศึกษาผู้ได้รับเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาจากกองทุน มีหน้าที่ต้องชําระเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ได้รับไปตามสัญญากู้ยืมเงินคืนให้กองทุน เมื่อผู้กู้ยืมเงินสําเร็จการศึกษาหรือเลิกการศึกษาแล้ว ตามจํานวน ระยะเวลา และวิธีการที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแจ้งให้ทราบ ด้วยวิธีการให้บุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคล ทั้งภาครัฐและเอกชนผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักเงินได้พึงประเมินของผู้กู้ยืมเงินซึ่งเป็นพนักงาน หรือลูกจ้างของผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินดังกล่าว เพื่อชําระเงินกู้ยืมคืนกองทุนตามจํานวนที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแจ้งให้ทราบ โดยให้นําส่งกรมสรรพากรภายในกําหนดระยะเวลานําส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ซึ่งการหักเงินได้ดังกล่าวต้องหักให้กองทุนเป็นลําดับแรกถัดจากการหักภาษี ณ ที่จ่าย และการหักเงินเข้ากองทุนที่ผู้กู้ยืมเงินต้องถูกหักตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ กฎหมายว่าด้วยกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม ฉะนั้น นายจ้างไม่ว่าจะอยู่ในสถานะของบุคคลธรรมดา คณะบุคคล หรือนิติบุคคล ทั้งภาครัฐวิสาหกิจและภาคเอกชน ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน อันได้แก่ เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ เงินค่าเช่าบ้าน เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า เงินที่นายจ้างจ่ายชำระหนี้ใด ๆ ซึ่งลูกจ้างมีหน้าที่ต้องชำระ และเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ใด ๆ บรรดาที่ได้เนื่องจากการจ้างงาน มีหน้าที่หักเงินได้พึงประเมินของผู้กู้ยืมเงินซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินดังกล่าว เพื่อชําระเงินกู้ยืมคืนตามจํานวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบ ทั้งนี้ หากนายจ้างผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินดังกล่าวไม่ได้ดำเนินการหักเงินได้พึงประเมินก็ดี หรือได้ดำเนินการหักเงินได้พึงประเมินเรียบร้อยแล้วแต่ไม่ได้นําส่งกรมสรรพกรก็ดี หรือได้ดำเนินการนําส่งกรมสรรพกรแล้วแต่นำส่งไม่ครบตามจํานวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบก็ดี รวมถึงได้ดำเนินการหักเงินได้พึงประเมินและนําส่งกรมสรรพกรเกินกําหนดระยะเวลา นายจ้างผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินจำต้องรับผิดชดใช้เงินที่ต้องนําส่งในส่วนของลูกจ้างผู้ซึ่งเป็นลูกหนี้ของกองทุนตามจํานวนที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแจ้งให้ทราบ อีกทั้งต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือนของจํานวนเงินที่นายจ้างผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินยังไม่ได้นําส่ง หรือตามจํานวนที่ยังขาดไป แล้วแต่กรณี นอกจากนี้ นายจ้างผู้ครอบครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกจ้างผู้ซึ่งเป็นลูกหนี้ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) หรือกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) มีหน้าที่จัดส่งข้อมูลให้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาตามที่กองทุนร้องขอภายในเวลาอันสมควร
สำหรับลูกจ้างผู้ซึ่งเป็นลูกหนี้ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) หรือลูกหนี้ของกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) นั้น เมื่อสำเร็จการศึกษาหรือเลิกการศึกษาแล้ว มีหน้าที่ต้องชำระหนี้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ได้รับไปตามสัญญากู้ยืมเงินคืนให้กองทุน ตามจำนวน ระยะเวลา และวิธีการที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแจ้งให้ทราบ และต้องปฏิบัติหน้าที่ของลูกหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินโดยเคร่งครัด กล่าวคือ ประการที่หนึ่ง กระทำการแจ้งสถานะการเป็นผู้กู้ยืมเงินของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) หรือผู้กู้ยืมเงินของกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) แล้วแต่กรณี ต่อนายจ้างที่ตนทำงานด้วยภายใน 30 วันนับแต่วันที่เริ่มปฏิบัติงาน ประการที่สอง ยินยอมให้นายจ้างซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน มีสิทธิหักเงินได้พึงประเมินของตนซึ่งเป็นลูกจ้างของนายจ้างผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินดังกล่าว เพื่อชําระหนี้เงินกู้ยืมคืนกองทุนตามจํานวนที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแจ้งให้ทราบ ดังความยินยอมที่ลูกจ้างได้เคยให้ไว้ในขณะทำสัญญากู้ยืมเงินนั้น ประการที่สาม ยินยอมให้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษามีสิทธิเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของตนที่อยู่ในครอบครองของนายจ้างหรือบุคคลอื่น และประการสุดท้าย ยินยอมให้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษามีสิทธิเปิดเผยข้อมูลของตนเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน และการชำระเงินคืนกองทุนได้
ในการหักเงินได้พึงประเมินของลูกจ้างผู้ซึ่งเป็นลูกหนี้ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) หรือลูกหนี้ของกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) เพื่อชําระเงินกู้ยืมคืนกองทุนจากเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานดังกล่าวมาข้างต้นนั้น แม้จะมีประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ลงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 และพระราชบัญญัติ
คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ห้ามมิให้นายจ้างหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดซึ่งเป็นเงินได้ของลูกจ้างเนื่องจากการจ้างแรงงานไว้ก็ตาม แต่ก็มีข้อยกเว้นให้นายจ้างมีสิทธิหักเงินค่าตอบแทนการทำงานดังกล่าวของลูกจ้างได้ หากเป็นการหักเพื่อชำระเงินอื่นตามที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ตาม ข้อ 31 (1) และมาตรา 76 (1) ของกฎหมายเดียวกัน ฉะนั้น นายจ้างจึงสามารถดำเนินการหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด ซึ่งเป็นเงินค่าตอบแทนการทำงานเนื่องจากการจ้างแรงงานของลูกจ้างผู้ซึ่งเป็นลูกหนี้ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) หรือลูกหนี้ของกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) เพื่อชําระเงินกู้ยืมคืนกองทุนตามจํานวนที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 แจ้งให้ทราบได้โดยชอบ
ท้ายสุดนี้ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เป็นกองทุนสำหรับนักเรียนและนักศึกษาซึ่งเป็นเยาวชนและทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญของชาติ เงินของกองทุนเป็นเงินอุดหนุนที่ได้รับจากรัฐบาล โดยการจัดสรรงบประมาณเพื่อสมทบเข้ากองทุนในแต่ละปี ความเข้มแข็งและมั่นคงของกองทุนจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งต่อการดำรงอยู่ของกองทุน ผู้ได้รับเงินกู้ยืมจากกองทุนถือว่าเป็นผู้ซึ่งได้รับและมีโอกาสที่ดีทางการศึกษา แต่โอกาสที่ดีดังว่านี้ จะไม่อาจตกทอดสู่นักเรียนหรือนักศึกษารุ่นต่อ ๆ ไปได้เลย หากปราศจากซึ่งการชำระเงินคืนกองทุน การปฏิบัติหน้าที่และประสานความร่วมมือของนายจ้างและลูกจ้างผู้ซึ่งเป็นลูกหนี้ของกองทุน เพื่อชําระเงินกู้ยืมคืนตามพระราช
บัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 จึงเป็นระบบและกลไกอันนำไปสู่ความเข้มแข็งและมั่นคงของกองทุน สำหรับสร้างโอกาสที่ดีทางการศึกษาให้แก่น้อง ๆ เยาวชนผู้ซึ่งเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญของชาติในอนาคต
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคณะนิติศาตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม โทร. 0-2579-1111 ต่อ 2383,2258 หรือ 08 9027 2258 โทรสาร 0 2579 1111 ต่อ 2384 เว็บไซต์ https://www.spu.ac.th/fac/law/th/content.php?cid=6738
หรือติดตามกิจกรรมต่างๆได้ที่ https://www.facebook.com/lawsripatum
หรือเยี่ยมชมวิดีทัศน์แนะนำมหาวิทยาลัยศรีปทุมได้ที่ https://www.youtube.com/user/SPUFriends