'Active Learning' เปลี่ยนห้องเรียนแบบเดิม สู่การเรียนรู้ผ่านลงมือปฏิบัติ ในวิชาสนามแม่เหล็กไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.ศรีปทุม

UploadImage
 

Active Learning เป็นแนวทางที่สำคัญในการพัฒนาทักษะและความรู้ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาวิชาที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น และยังช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาได้ดีอีกด้วย


ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สำเริง ฮินท่าไม้ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม กล่าวว่า  การศึกษาในยุคปัจจุบันกำลังมุ่งเน้นการเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้มีส่วนร่วมกับเนื้อหาวิชาอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในรายวิชาที่มีความซับซ้อน เช่น EEG231: สนามแม่เหล็กไฟฟ้า การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มการมีส่วนร่วมของนักศึกษาและพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ให้ดียิ่งขึ้น

กิจกรรมหลักในรายวิชา EEG231 คือ Mini Project ที่ออกแบบมาเพื่อให้นักศึกษาได้มีความรู้และความเข้าใจในหลักการพื้นฐานของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ผ่านการทดลองจริง เช่น การวัดเส้นแรงสนามแม่เหล็ก การเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า และการวัดความแรงของสนามแม่เหล็ก โดยมีขั้นตอนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ได้แก่ รู้ เข้าใจ นำไปใช้ ฝึกฝน และสร้างวิธีคิด

สำหรับโครงสร้างการทำ Mini Project มีดังต่อไปนี้ 

1. การจัดกลุ่ม: นักศึกษาจะถูกแบ่งเป็นกลุ่มเพื่อส่งเสริมการทำงานเป็นทีมและการเรียนรู้ร่วมกัน

2.  การค้นคว้างานวิจัย: แต่ละกลุ่มศึกษาบทความวิจัยและกรณีศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการอธิบายพื้นฐานของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งรวมถึงกฎของแม็กซ์เวลล์ (Maxwell's Equations), สนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก, ความสัมพันธ์ระหว่างสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก, และการแพร่กระจายของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

3. การพัฒนาโครงการ: นักศึกษาจะนำแนวคิดจากการค้นคว้างานวิจัยและกรณีศึกษา นำความรู้ไปประยุกต์ใช้และเชื่อมโยงองค์ความรู้ในวิชาเครื่องจักรกลไฟฟ้าได้

4. การนำเสนอผลงาน: นักศึกษานำผลการพัฒนาโครงงานมาวิเคราะห์ และนำเสนอต่อชั้นเรียน

5. การวิจารณ์ผลงาน: กลุ่มนำเสนอผลงานต่อชั้นเรียนและได้รับข้อวิจารณ์และเสนอแนะจากเพื่อนๆกลุ่มอื่น

6. อาจารย์สรุปผลการเรียนรู้ให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มได้ทราบ


UploadImage


ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สำเริง อธิบายเพิ่มเติมว่า การบูรณาการการวิจัยเข้ากับหลักสูตรไม่เพียงแต่เป็นการเพิ่มพูนทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ของนักศึกษา แต่ยังเปิดโอกาสให้พวกเขาได้สืบค้นและวิเคราะห์บทความวิชาการที่เกี่ยวข้องกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างลึกซึ้ง โดยกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้นักศึกษาไม่เพียงแต่เข้าใจทฤษฎี แต่ยังสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในบริบทของอุตสาหกรรมจริงได้อีกด้วย

นอกจากนี้ การวิจารณ์ผลงานของเพื่อนเป็นส่วนสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามในกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งกิจกรรมนี้ไม่ได้เพียงแต่ช่วยให้นักศึกษาเรียนรู้จากข้อบกพร่องและคำแนะนำของกันและกัน แต่ยังเป็นการพัฒนาทักษะการประเมินงานอย่างมีวิจารณญาณ นี่คือก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความสามารถในการปรับปรุงและพัฒนาผลงานของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในฐานะนักวิชาการและนักวิชาชีพในอนาคต

ดังนั้น การบูรณาการทั้งสององค์ประกอบนี้จึงเป็นเส้นทางที่ทำให้การศึกษาไม่ใช่เพียงแค่การเรียนรู้ทฤษฎี แต่เป็นการเตรียมพร้อมนักศึกษาให้ก้าวสู่โลกแห่งความจริงที่เต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ ที่รออยู่

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สำเริง กล่าวสรุปว่า การปรับเปลี่ยนห้องเรียนแบบดั้งเดิมให้เป็นสภาพแวดล้อมการเรียนรู้เชิงรุกนั้นเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มการมีส่วนร่วมของนักศึกษาและยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ในวิชา EEG231 สนามแม่เหล็กไฟฟ้า การใช้กิจกรรมที่เน้นการปฏิบัติจริง เช่น Mini Project และการวิจารณ์ผลงานของเพื่อน ช่วยให้นักศึกษาได้รับประสบการณ์ที่มีค่า และสามารถพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับเส้นทางวิชาชีพในอนาคตได้อย่างแท้จริง

“ในอนาคตรายวิชา EEG231 จะมีการนำเทคโนโลยีเสมือนจริง (AR/VR) และ AI มาใช้ เพื่อให้นักศึกษา "เห็น" และ "สัมผัส" กับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในรูปแบบที่จับต้องได้ ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจหลักการที่ซับซ้อนได้ดียิ่งขึ้น”