ผู้เขียนในฐานะคนใช้ 3 ภาษาในชีวิตประจำวัน ขอฟันธงแบบเฟิร์มๆ ว่า
“พูดได้ 3 ภาษา ชีวิตเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ”
ภาษาที่ผู้เขียนใช้ได้คล่องแบ่งเป็นระดับตามระยะเวลาการเรียนดังนี้
ภาษาไทย ภาษาแม่: เรื่องฟัง-พูด-อ่านไม่ต้องพูดถึง แต่เขียนนี่สิ ทักษะตรงนี้คนไทยมีไม่เท่ากัน ผู้เขียนในฐานะนักเขียนขออนุญาตให้คะแนน 99%
ภาษาอังกฤษ ภาษาที่สอง: เรียนมาแต่อนุบาลจนปริญญา ทักษะการฟังคุยสนทนาเรื่องทั่วไปได้ไม่มีปัญหา ดูหนังแบบที่ไม่ใช่แนว Scifi ดูได้รู้เรื่องเกือบทั้งเรื่อง ทักษะการอ่านสามารถอ่านเนื้อหาในเว็บ-หน้าเฟสได้คล่องแคล่ว (ฮาฮา) แต่ทักษะการเขียนอ่อนด้อยมาก ใช้เพียงสื่อสารด้านธุรกิจทั่วไป ไม่ได้ใช้คำหรูหรา (ซึ่งชีวิตจริงการดีลธุรกิจต้องยิ่งง่าย ตรงไปตรงมา ยิ่งดี)
อย่างไรก็ดีทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ของผู้เขียนและคนไทยส่วนใหญ่จะชินเฉพาะกับอังกฤษแบบอเมริกัน เพราะรับวัฒนธรรมเขามามาก แต่อังกฤษแบบผู้ดีอังกฤษ และออสเตรเลีย ดูเหมือนจะฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง
ที่มาของภาพ
http://www.sinwa-mekki.com/en/service/wwj/
กล่าวโดยสรุป ผู้เขียนให้คะแนนทักษะภาษาอังกฤษของตัวเองเมื่อเทียบกับภาษาแม่คือ 85% (โดนคะแนนทักษะการเขียนฉุดไว้)
ภาษาจีนกลาง ภาษาที่สาม: ภาษานี้ผู้เขียนใช้เวลา 2 ปี สปีดตัวเองจาก Level 1 ถึง Level 6 นั่นคือ การสื่อสารภาษาจีนเพื่อธุรกิจได้ แต่เพราะการเรียนลัดอัดสปีดแบบสิบล้อของตัวเองนั้น ก็นำมาซึ่งการได้ภาษาจีนเฉพาะทักษะการฟังและพูดคุยที่เรียกได้ว่าเอาตัวรอดได้ แต่การอ่านก็ยังต้องพึ่งพ่อกู๋ (Google) และเขียนก็แค่เป็นการเขียนตอบแชตเบื้องต้น
กล่าวโดยสรุป ผู้เขียนให้คะแนนทักษะภาษาจีนของตัวเองเมื่อเทียบกับภาษาแม่คือ 65% ถือว่าใช้เอาตัวรอดในเมืองจีนและใช้เจรจาธุรกิจเบื้องต้นได้
เมื่อแชร์ระดับภาษาให้น้องๆ ฟังแล้ว ก็คงอยากจะรู้ว่าชีวิตผู้เขียนนั้นเปลี่ยนตอนไหน? เรื่องเล่าสนุกๆ ก็จะเริ่มตรงนี้แหละ!
เปลี่ยน...ตอนต้องคุยกับฝรั่งจริงๆ: ตั้งแต่ประเทศไทยประกาศว่าจะเข้า AEC ทำให้เราได้มีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษและพบกับฝรั่งมากมาย ทำให้ต้องอ่าน ต้องฟังมากขึ้นกว่าเดิม และมีโอกาสพูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งตัวเป็นๆมากขึ้นอีกด้วย
ที่มาของภาพ
http://www.buzzle.com/articles/cultural-barriers-to-effective-communication.html
ฟังถึงตรงนี้ น้องๆ คงเห็นภาพจุดเปลี่ยน จุดแรก คือ การได้ยืดอย่างภาคภูมิใจว่า เราก็อ่านเข้าใจ ฟังรู้เรื่อง และก็พูดได้นี่นา นอกจากนี้ยังเป็นความภาคภูมิใจเล็กๆส่วนตัวที่เวลาเราเดินทางไปต่างประเทศก็สามารถสื่อสารได้เข้าใจและใช้ความรู้ภาษาอังกฤษของเราบอกทางฝรั่งหรือช่วยเหลือชาวต่างชาติเล็กๆน้อยๆอีกด้วย
เปลี่ยน...ตอนนี้อยากจะหาอะไรในโลกออนไลน์ก็เจอ...และได้มาครอบครอง: ฟังๆ ดูแล้วเหมือนทักษะด้านภาษาอังกฤษจะถูกใช้ไปในเรื่องมีสาระซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ทักษะภาษาจีนของผู้เขียนนั้นก็ถูกนำไปใช้
“ช่วยเรื่องสาระ” และ
“เพิ่มความบันเทิง” ให้กับชีวิตด้วย ซึ่งถือว่าบาลานซ์กันได้ดีทีเดียว
ช่วยเรื่องงานก็จะเป็นการหาข้อมูล ซอฟท์แวร์ ไฟล์ต่างๆ ที่ปกติในเว็บฝรั่งจะต้องเสียเงิน แต่เว็บจีนเขามีคนใจดีรวบรวมไว้ให้โหลดฟรี (แต่ก็ต้องระวังไวรัสจีนด้วยนะจ๊ะ)
และด้านความบันเทิง ก็สามารถที่จะเพลิดเพลินกับศิลปะวัฒนธรรมของจีนได้ผ่านหนัง เพลง คาราโอเกะ (จะว่าไปเว็บจีนก็มีเนื้อหาของทุกชาติให้เสพทั้งหมดแหละ ไม่เชื่อก็ไปดูที่
www.le.com สิ)
ที่มาของภาพ
le.com
และที่ขาดไม่ได้คือ
การช้อปปิ้งที่เว็บจีนอย่าง เถาเป่า (taobao.com) เทียนเมา (tmall.com) ที่มีของมหาศาล หลากหลายราคา อยู่ที่เรารู้จักหาและรู้จักเลือก ซึ่งทักษะภาษาจีนก็ได้ใช้แน่ๆตั้งแต่การใช้คำคีย์เวิร์ดอะไรที่จะค้นหาได้สินค้าที่เราต้องการ และการพูดคุยกับพ่อค้าด้วยตัวเองผ่านระบบแชตนั่นเอง
ที่มาของภาพ taobao.com
เปลี่ยน...ตอนไปเที่ยวเมืองนอกเมืองนา: แค่ก้าวขึ้นเครื่องบิน เราก็จะเจอมีโอกาสเจอแอร์เป็นชาวต่างชาติแล้ว การพูดคุยขอน้ำ อาหาร ถามข้อมูลโดยไม่เคอะเขินก็เป็นสิ่งจำเป็นต่อการอยู่รอดแต่พอเมื่อไปถึงสถานที่ท่องเที่ยว การได้ถามข้อมูลจากไกด์ การต่อราคาซื้อของ การพูดคุยกับคนขับรถ ฯลฯ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่จะสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับการเดินทางของเราได้อย่างแน่นอนขอเพียงแค่เรารู้ว่าจะถามอะไร และฟังคำตอบจากเขารู้เรื่อง การสนทนาที่ออกรสชาติก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ซึ่งก็หมายถึงการได้สร้างมิตรภาพใหม่ๆ ได้อีกทางหนึ่ง
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดก็อยากจะเฟิร์มกับน้องๆว่า “ได้ภาษา” สำคัญจริงๆ โดยเฉพาะทักษะการฟังและพูด ซึ่งต้องให้ได้ก่อนทักษะอื่นๆ ซึ่งการวัดว่าเราได้หรือไม่ได้ก็ง่ายๆ
เบื้องต้นถ้าเขาพูดมาเราฟังรู้เรื่อง และเราพูดตอบกลับเขาไปได้ (ตั้งแต่เรื่องเบสิกกินอยู่ไปจนถึงเรื่องการทำงาน) ก็แปลว่าเราใช้ภาษานั้นในระดับธุรกิจได้แล้วจริงๆ
ส่วนเรื่องการพูดผิดแกรมม่า ไม่ใช่ปัญหา เพราะถึง “หน้างาน” อีกฝ่ายรู้ว่าเราเป็นชาวต่างชาติก็พร้อมตั้งใจฟังสิ่งที่เราจะสื่อออกไป ขอแค่เราเข้าใจกันเป็นพอ!
เพราะ “ภาษา” คือ พลัง นำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ ให้กับชีวิตได้จริงๆ
ฉะนั้น...
ให้ (เวลา) + (ใส่) ความตั้งใจ และ (พร้อม) ฝึกฝน
3 ข้อนี้เป็นคัมภีร์ที่ไม่มีทางลัดซึ่งจะทำให้คุณภูมิใจที่ได้ “เก่งภาษา” อย่างแน่นอน